

🐾 คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับมือใหม่: ทำความเข้าใจ “อาหารบาร์ฟ” (BARF)
เขียนโดย: หมอเป็ด – สัตวแพทย์เจ้าของแบรนด์อาหารสุขภาพ BARFnista
ในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจเรื่องอาหารที่ “ใกล้ธรรมชาติ” มากขึ้น ไม่ใช่แค่มนุษย์ที่ได้ประโยชน์ สัตว์เลี้ยงของเราก็เช่นกัน—อาหารสดดิบ หรือที่เรียกว่า BARF กลายเป็นทางเลือกที่เจ้าของสุนัขและแมวทั่วโลกให้ความสนใจ
แต่ก็ยังมีคำถามและความเข้าใจผิดจำนวนมาก ดังนั้นบทความนี้จึงถูกเขียนขึ้น เพื่อให้คุณเข้าใจอาหารบาร์ฟอย่างถูกต้อง ครบทุกมิติ ทั้งประโยชน์ วิธีการเริ่ม และการดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างปลอดภัยเมื่อเริ่มเปลี่ยนอาหารครับ
1. อาหารบาร์ฟคืออะไร?
BARF = Biologically Appropriate Raw Food
คืออาหารที่ประกอบด้วย เนื้อสัตว์สด, กระดูกบด, เครื่องใน, ผักผลไม้สด และวิตามินแร่ธาตุจากธรรมชาติ โดยไม่ผ่านความร้อนหรือกระบวนการแปรรูป
เป้าหมายของอาหารบาร์ฟคือ คืนวิถีธรรมชาติ ให้กับสุนัขและแมว เพราะพวกเขามีรากเหง้าจากสัตว์นักล่า—หมาป่าและเสือ
อย่างไรก็ตาม การให้อาหารบาร์ฟต้อง:
ใช้วัตถุดิบสด สะอาด ปลอดเชื้อ
ผสมตามสัดส่วนที่สมดุล
หมุนเวียนวัตถุดิบเพื่อป้องกันการขาดสารอาหาร
❗ หากให้อาหารดิบแบบไม่สมดุล เช่น เนื้ออย่างเดียวหรือโครงไก่บดตลอด อาจทำให้สัตว์เลี้ยงเจ็บป่วยจากภาวะขาดสารอาหาร
2. สัตว์เลี้ยงทุกสายพันธุ์กินบาร์ฟได้หรือไม่?
✅ ใช่!
ไม่ว่าจะเป็นสุนัขพันธุ์เล็ก กลาง ใหญ่ หรือแมวพันธุ์ใดก็ตาม ล้วนมี ระบบย่อยที่ออกแบบมาเพื่อย่อยเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะ
สุนัข: มีทางเดินอาหารสั้น, ฟันเขี้ยว, และกรดในกระเพาะสูง
แมว: เป็น สัตว์กินเนื้อ 100% (Obligate Carnivore)
การให้เนื้อสัตว์แบบดิบ หรือปรุงสุกอย่างเหมาะสม ย่อมเหมาะกับโครงสร้างร่างกายของพวกเขามากกว่าอาหารเม็ดแปรรูป
3. ทำไมอาหารบาร์ฟจึง “เข้ากับธรรมชาติของสัตว์”?
ก่อนยุคอุตสาหกรรม (ราว 150 ปีที่แล้ว) สุนัขและแมวอาศัยอยู่ตามธรรมชาติ กินเหยื่อสด ผัก หญ้า และผลไม้ที่หาได้
ระบบย่อยของพวกเขาถูกออกแบบมาเพื่อจัดการอาหารสด
อาหารบาร์ฟจึงเปรียบเสมือน การจำลองอาหารจากธรรมชาติ ให้กลับมาอยู่ในจานของสัตว์เลี้ยงอีกครั้ง
4. จะเริ่มต้นให้กินบาร์ฟอย่างไร?
การเปลี่ยนจากอาหารเม็ดมาเป็นบาร์ฟ ต้องค่อยเป็นค่อยไป:
เริ่มจาก สูตรไก่ เป็นสูตรพื้นฐาน (ย่อยง่ายที่สุด)
ให้ต่อเนื่อง 5–7 วัน
ค่อยๆ หมุนเวียนเป็นสูตร เป็ด, เนื้อวัว, ปลา เพื่อเพิ่มสารอาหารและป้องกันการเบื่อ
แนะนำให้มี วันพักท้องสัปดาห์ละ 1 วัน เพื่อฟื้นระบบย่อย
🧠 หากสุนัขอายุเกิน 7 ปี หรือมีโรคประจำตัว ควรใช้ระยะเปลี่ยน 2–3 สัปดาห์ และอาจเริ่มจากสูตรที่ย่อยง่ายเท่านั้น
5. ปริมาณอาหารบาร์ฟที่แนะนำ
โดยทั่วไป:
🐶 สุนัขโตเต็มวัย → 2–3% ของน้ำหนักตัวต่อวัน
🐱 แมวโต → 2–4% ของน้ำหนักตัวต่อวัน
🐶 ลูกสุนัข / ลูกแมว → 5–10% ของน้ำหนักตัวต่อวัน
ตัวอย่าง:
สุนัขหนัก 15 กก. → กินวันละ 300–450 กรัม
สุนัขหนัก 8 กก. → กินวันละ 160–240 กรัม
แบ่ง 2 มื้อ หรือให้ 1 มื้อใหญ่ก็ได้ (ขึ้นกับนิสัยสัตว์เลี้ยง)
6. อาหารบาร์ฟเก็บได้นานแค่ไหน?
ช่องแช่แข็ง (Freezer): 3–4 เดือน
ช่องธรรมดา (Chiller): 2–3 วัน
ห้ามนำออกจากช่องแช่แข็งหลายครั้ง
❄ แนะนำให้ละลายเฉพาะมื้อที่ใช้ และเก็บส่วนเหลือใน กล่องสุญญากาศ เพื่อยืดอายุและป้องกันการปนเปื้อน
7. ผลข้างเคียงในช่วงเริ่มกินบาร์ฟ
ช่วง 7–10 วันแรก อาจมีถ่ายเหลวหรืออาเจียนเล็กน้อย เป็นเรื่องปกติของการเปลี่ยนอาหารกะทันหัน
ถ้าน้องยังร่าเริง กินได้ ปัสสาวะปกติ → ไม่น่าเป็นห่วง
หากมีอาการอ่อนแรง ถ่ายเหลวมากกว่า 5 ครั้ง หรืออาเจียนซ้ำ → ควรหยุดอาหารและพบสัตวแพทย์ทันที
8. บาร์ฟกับอาหารเม็ดให้พร้อมกันได้ไหม?
❌ ไม่ควรผสมในมื้อเดียวกัน
อาหารแต่ละประเภทใช้เวลาในการย่อยต่างกัน
บาร์ฟ: ใช้กรดสูง ย่อยไว
อาหารเม็ด: ย่อยช้า และต้องการน้ำเยอะ
หากจำเป็นให้ทั้งสองแบบ ควร:
แยกมื้อห่าง 8–12 ชม.
หรือ สลับวัน
9. อายุเท่าไหร่ถึงเริ่มกินบาร์ฟได้?
🐾 หลังหย่านม (6–8 สัปดาห์) → เริ่มฝึกกินบาร์ฟได้เลย
🐾 วัยสูงอายุ (> 10 ปี) → กินได้ แต่ควรปรับสูตรให้เหมาะสม เช่น ลดไขมัน เสริมผัก
10. กระดูกอันตรายจริงหรือไม่?
✅ กระดูกดิบบดละเอียด ปลอดภัย
❌ กระดูกปรุงสุก = อันตราย
กระดูกสุก (โดยเฉพาะไก่ทอด) แตกง่าย เสี่ยงทิ่มกระเพาะหรืออุดตันลำไส้
คำแนะนำ:
บดละเอียด (โดยเฉพาะสำหรับแมวและหมาพันธุ์เล็ก)
ให้เป็น Knuckle Bone / Marrow Bone ขนาดพอเหมาะสำหรับแทะขัดฟัน
11. บาร์ฟเสี่ยงพยาธิหรือไม่?
ความเสี่ยงจะต่ำมาก ถ้าแหล่งวัตถุดิบสะอาด และผ่านการแช่แข็งมาตรฐาน
ระบบย่อยของสุนัขและแมวมีความเป็นกรดสูง จัดการเชื้อโรคได้ดี
📌 แนะนำถ่ายพยาธิ 2–4 ครั้ง/ปี (ขึ้นกับพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม)
12. การ “ปรับท้อง” หมายถึงอะไร?
คือระยะที่ร่างกายปรับตัวให้เข้ากับอาหารดิบ ใช้เวลาประมาณ:
7 วัน (ในสัตว์อายุต่ำกว่า 7 ปี)
10–20 วัน (ในสัตว์อายุมาก หรือระบบย่อยอ่อนแอ)
อาการถ่ายเหลวเล็กน้อยถือเป็นปกติ แต่ถ้ารุนแรง ควรปรึกษาสัตวแพทย์
13. กินบาร์ฟแล้ว “ดุขึ้น” จริงไหม?
❌ ไม่จริง
พฤติกรรมดุเกิดจากปัจจัยอื่น เช่น พันธุกรรม การเลี้ยง ความเครียด ไม่ใช่จากอาหารบาร์ฟ
อาหารที่กระตุ้นพฤติกรรมรุนแรงมักมาจาก กลุ่มคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น ข้าว ขนมหวาน ไม่ใช่เนื้อดิบ
14. ทำไมน้องกินบาร์ฟแล้ว “กินน้ำน้อย-ถ่ายน้อย”?
เพราะบาร์ฟมี น้ำจากธรรมชาติสูงกว่า 60–70%
ร่างกายจึงไม่ต้องดึงน้ำเข้าไปชดเชยเหมือนอาหารเม็ด → ปัสสาวะและอุจจาระจะน้อยลง
15. ถ้าน้องไม่ยอมกินบาร์ฟ ควรทำยังไง?
อุ่นเบาๆ ให้หอม (แต่ไม่ให้สุก)
ผสมกับ Bone Broth
เสิร์ฟแบบเย็นหรือกึ่งแช่แข็ง
ผสมกับอาหารเดิมแล้วเพิ่มบาร์ฟทีละน้อย
หมุนเวียนรสชาติทุก 2–3 วัน
ฝึกให้อาหารตรงเวลา (15 นาที/มื้อ)
❗ แมวควรหลีกเลี่ยงการอดอาหาร ควรใช้การบังคับป้อนแบบอ่อนโยนจนกว่าจะชิน
✅ ข้อควรปฏิบัติเมื่อให้อาหารบาร์ฟ
รักษาความสะอาดตลอดเวลา (ภาชนะ-มือ-พื้นผิวเตรียม)
ใช้ชามสเตนเลส (ลดการสะสมเชื้อ)
แยกอาหารบาร์ฟจากอาหารคน
เก็บในช่องแช่แข็ง / หลีกเลี่ยงการละลายซ้ำ
ขอให้เด็กๆ ที่บ้านมีสุขภาพแข็งแรงจากการกินอาหารบาร์ฟครับ 🙂
— หมอเป็ด | สัตวแพทย์เฉพาะทางด้านโภชนาการสัตว์เลี้ยง

