ปริมาณบาร์ฟที่เหมาะสมสำหรับสุนัขทุกช่วงวัย

🎉ตอนที่ 2.6 #ปริมาณบาร์ฟที่เหมาะสมสำหรับสุนัขทุกช่วงวัย
.
เป็นเรื่องปกติ ที่ผู้เลี้ยงมือใหม่มักกังว
และกะไม่ถูกว่าควรให้บาร์ฟปริมาณเท่าไร 
จึงพอดีความต้องการของสุนัขในแต่ละวัน
ไม่เหมือนอาหารสำเร็จรูปชนิดเม็ดหรือเปียก 
ที่บอกวิธีคำนวณมาให้อย่างเสร็จสรรพ 
เช่น ตวงใส่กี่ถ้วย ให้เฉลี่ยครั้งละกี่เม็ด 
ให้หนึ่งถุงต่อหนึ่งตัว ซึ่งดูง่าย ไม่ยุ่งยาก 
.
จริงๆแล้ว การให้บาร์ฟนั้นไม่ยากอย่างที่คิด
เราอาจใช้วิธี “นับแคลอรี่”เหมือนในคนก็ได
แต่หมอไม่ค่อยแนะนำนะ เพราะค่อนข้าง
ซับซ้อน และต้องจำตัวเลขมากมาย
เลยขอเลือกวิธีที่นิยมใช้ในปัจจุบัน
ดูเข้าใจง่ายสุด นั่นคือ “การกะปริมาณอาหาร
ในแต่ละวันโดยคิดเป็น % ตามน้ำหนักตัว”
.
💕หัวใจสำคัญของวิธีนี้ ผู้เลี้ยงต้องทราบก่อน
ว่าน้ำหนักของน้องหมาคือเท่าไร จากนั้น
จึงค่อยคำนวน%อาหาร ตามช่วงวัย 
และสายพันธ์ จากนั้นค่อยแบ่งเป็นมื้ออีกที
.
😅อ่านแล้วคงดูงงและสับสนแน่ๆเลย
งั้นเราไปดูรายละเอียดพร้อมๆกันดีกว่า
โดยหมอขอแบ่งตามช่วงอายุของสุนัข
เพื่อง่ายต่อการเข้าใจ และขอยกตัวอย่าง
เพื่อให้เห็นภาพตรงกันครับ
.
┏━━━━━━━━━━━━━━━┓
🍗ปริมาณบาร์ฟที่เหมาะสม
🦴 ใน 1 วัน สำหรับสุนัขทุกช่วงวัย
┗━━━━━━━━━━━━━━━┛
.
=============================
.
#สุนัขวัยเด็ก (ช่วงอายุ 1 -12 เดือน ) 
อายุ 2-6 เดือน ปริมาณแนะนำต่อวัน
คือ 8-10% ของน้ำหนักตัว จำนวน 3-4 มื้อ/วัน
.
อายุ 6 -12 เดือน ปริมาณแนะนำต่อวัน 
คือ 5-8 % ของน้ำหนักตัว จำนวน 2-3 มื้อ/วัน
.
===============================
.
#สุนัขวัยโต (ช่วงอายุ 1-7 ปี) 
โตเต็มวัยแล้ว* ปริมาณแนะนำต่อวัน 
คือ 2-4 % ของน้ำหนักตัว จำนวน 1-2 มื้อ/วัน

*สามารถปรับลด-เพิ่มสัดส่วนได้ 
หากสุนัขออกกำลังกายเป็นประจำ 
หรือเริ่มเสี่ยงภาวะน้ำหนักเกิน
.
===============================
.
#สุนัขสูงวัย (ช่วงอายุ 7-15 ปี) 
การเผาผลาญลดลง* ปริมาณแนะนำต่อวัน 
คือ 1-2 % ของน้ำหนักตัว จำนวน 1-2 มื้อ/วัน

*สุนัขทุกสายพันธ์เมื่ออายุเกิน 7 ปีแล้ว 
ต้องปรับให้กินอาหารน้อยลง ควบคุมน้ำหนัก 
เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว
.
===============================
.
#สุนัขตั้งท้องและอยู่ในช่วงให้นมลูก 
ต้องการพลังงานมาก* ปริมาณแนะนำต่อวัน 
คือ 3-6% ของน้ำหนักตัว จำนวน 3- 5 มื้อ
.
*ปรับสัดส่วนได้มากน้อยตามความเหมาะสม
ขึ้นอยู่กับช่วงระยะการตั้งท้องและจำนวนลูก
(เฉลี่ยประมาณ 60-65 วัน) 
.
📌ช่วงเดือนแรก แม่หมาสามารถกินบาร์ฟ
ได้สัดส่วนปกติ คือ 2-3% แต่พอขึ้นเดือนที่ 2
ควรปรับเพิ่มเป็น 4-6% ของน้ำหนักตัว/วัน
.
===============================
.
#สุนัขที่มีปัญหาสุขภาพหรือมีโรคประจำตัว
.
โดยเฉพาะสุนัขที่ป่วยเป็นโรคตับ ไต เบาหวาน
ตับอ่อนอักเสบ โรคหัวใจ โรคมะเร็ง ฯลฯ
ต้องพิจารณาเป็นรายตัวไปว่าร่างกาย
สามารถปรับมากินบาร์ฟได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับ 
อายุ /สายพันธ์ / นิสัยการกิน /ผลเลือด รวมถึง 
.
🔥ต้องจำกัดปริมาณโปรตีนและไขมัน 
🔥ลดแป้งและน้ำตาล เพิ่มปริมาณไฟเบอร์ 
🔥เสริมวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย

🤓ควรปรึกษาสัตวแพทย์ที่เชี่ยวชาญทางด้าน
โภชนาการเพื่อประโยชน์สูงสุดของสัตว์ป่วย
.
===============================
.
ที่หมออธิบายไปทั้งหมด คือ ปริมาณการให้
บาร์ฟสำหรับสุนัขที่ถูกต้องและเหมาะสมจริงๆ 
คราวนี้หมอขอยกตัวอย่าง วิธีการคำนวน
บาร์ฟในแต่ละวัน แบบเข้าใจง่ายดังนี้นะครับ
.
ตัวอย่างที่1️⃣ >>สุนัขพันธ์ไซบีเรียน 
อายุ 3 เดือน นน. 5 กก. 
✔️ ควรให้กินวันละ 10% ของน้ำหนักตัว 
เนื่องจากอยู่ในช่วงวัยเจริญเติบโต 
👉น้ำหนัก 5 กก. จะเท่ากับ 5,000 กรัม 
ดังนั้น ใน 1 วันควรกินบาร์ฟอยู่ที่ 500 กรัม 
และถ้าเราให้ อาหารวันละ 4 มื้อ 
ก็จะให้แค่มื้อละ 125 กรัมก็พอครับ
.
ตัวอย่างที่2️⃣ >>สุนัขพันธ์ชิวาว่า ทำหมันแล้ว*
อายุ 5 ปี นน. 4 กก.
✔️ เนื่องจากเป็นสุนัขพันธ์เล็กและอยู่ในวัยโต 
จึงควรให้วันละ 4-5 % แต่เนื่องจากทำหมันแล้ว
ร่างกายจะเผาผลาญพลังงานได้น้อยกว่าปกติ 
แถมดูแล้วน้ำหนักยังเกินกว่าปกติอีกด้วย 
จึงควรลดเหลือแค่วันละ 2-3 % ก็พอครับ
👉น้ำหนัก 4 กก. จะเท่ากับ 4,000 กรัม 
ถ้าให้แค่วันละ 2% ก็ต้องให้วันละ 80 กรัม
ถ้าให้แค่วันละมื้อเดียว ก็ให้เป็นมื้อละ 80 กรัม
ไปเลย แต่ถ้าแบ่งให้วันละ 2 ครั้ง 
ก็ให้มื้อละ 40 กรัม ก็พอครับ
.
ตัวอย่างที่3️⃣ >> สุนัขพันธ์ไทย
อายุ 14 ปี น้ำหนัก 20 กก. 
✔️ เนื่องจากเป็นสุนัขสูงอายุ ร่างกายมีการ
เผาผลาญลดลง จึงไม่จำเป็นต้องกินมาก 
แต่ต้องมั่นใจว่าบาร์ฟที่เราให้นั้นสารอาหารครบ
👉น้ำหนัก 20 กก.จะเท่ากับ 20,000 กรัม 
ถ้าให้วันละ 1% ก็คือกินแค่วันละ 200 กรัมก็พอ 
และควรให้แค่วันละมื้อเดียวก็พอครับ
.
ตัวอย่างที่4️⃣ >> สุนัขพันธ์ลาบราดอร์ 
อายุ 8 ปี น้ำหนัก 30 กก.
มีปัญหาเป็นโรคไตวายเรื้อรัง*
✔️สุนัขที่มีปัญหาสุขภาพ ต้องจำกัดปริมาณ
อาหารอย่างเคร่งครัด อย่าให้มากเกินไป 
ซึ่งปริมาณที่แนะนำอยู่ที่ 1-2% ก็พอครับ
👉น้ำหนัก 30 กก. จะเท่ากับ 30,000 กรัม 
ถ้าให้วันละ 1.5% ก็คือกินวันละ 450 กรัม
ควรแบ่งให้วันละ 2 มื้อ ก็คือมื้อละ 225 กรัม 
แต่จำเป็นต้องกินยาและเสริมวิตามิน
ตามคำแนะนำของสัตวแพทย์อย่างเคร่งครัด
.
===============================
.
<มุมมองหมอเป็ด>
.
.
จะเห็นว่าผู้เลี้ยงควรใสใจปริมาณบาร์ฟให้มาก
ดูจากปัจจัยด้านอายุ สายพันธ์ และขนาดตัว 
ถ้าให้บาร์ฟตามที่คำนวน แล้วน้องหมายังดูหิว
หรือกินไม่หมด ต้องดูว่าเกิดจากสาเหตุใด 
เพราะนิสัยกินเก่ง เบื่ออาหาร หรือมีปัญหา
สุขภาพ จึงค่อยปรับมาให้ตามความเหมาะสม

**อย่าลืมหมุนเวียนเปลี่ยนชนิดเนื้อ 
ทุกๆ 3-5 วัน เพื่อป้องกันไม่ให้เบื่อรสชาติ 
อีกทั้งช่วยให้พวกเขาได้รับสารอาหารครบถ้วน
และสมดุล ลองนำตัวอย่างข้างบนนี้ไปปรับใช้
ให้เหมาะสมแก่สุนัขสายบาร์ฟของเรานะครับ
.
❤️With Love Your Pets #หมอเป็ด🐤

ข้อมูลดีๆเกี่ยวกับบาร์ฟ
สนใจบาร์ฟพรีเมี่ยมและเรียนทำอาหาร
หมอเป็ด สัตวแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านบาร์ฟ