10 ความเชื่อผิดๆ สำหรับเจ้าของสัตว์เลี้ยง ที่กังวลเรื่องการให้บาร์ฟ จริงหรือไม่ #01 “การให้สุนัขและแมวทานอาหารดิบทำให้ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน” : – ผิด! หลักการให้อาหารดิบ (Raw Food Diet) ในแนวทางสายบาร์ฟ จำเป็นต้องหมุนเวียนวัตถุดิบให้หลากหลาย เพราะเนื้อสัตว์แต่ละชนิด ประเภทเครื่องใน กระดูกดิบ รวมทั้งผักผลไม้ ล้วนมีสารอาหารแตกต่างกัน เราไม่จำเป็นต้องให้ส่วนผสมทุกอย่างในวันเดียว แต่ควรแพลนทานให้ครบถ้วนในรอบ 1 สัปดาห์ เพียงเท่านี้ก็ถือว่าร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนระดับหนึ่งแต่ถ้าให้แค่โครงไก่บด หรือกินเนื้อสัตว์ชนิดเดียว การให้อาหารดิบแบบนี้คือวิธีที่ผิด ไม่ใช้ให้แนวบาร์ฟแต่คือโบน(กระดูก) ย่อมไม่แปลกใจที่สุนัขจะมีปัญหาสุขภาพจากภาวะขาดสารอาหารและแร่ธาตุ เพราะหัวใจสำคัญของการให้บาร์ฟคือการหมุนเวียนวัตถุดิบและมีสัดส่วนอาหารที่สมดุล. จริงหรือไม่ #02 “สุนัขและแมวที่กินอาหารดิบมีส่วนทำให้เชื้อแบคทีเรียในร่างกายดื้อต่อยาปฏิชีวนะ” : – ผิด! .เพราะวัตถุดิบที่ใช้ทำบาร์ฟ ก็คือเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ชนิดเดียวกับที่ใช้ในการบริโภคของมนุษย์ ดังนั้นการให้สัตว์เลี้ยงทานอาหารแบบดิบๆจึงไม่มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดภาวะแบคทีเรียที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ .ทุกๆปี องค์การอนามัยโลกเผยแพร่รายการความเสี่ยงทั่วโลก มีการกล่าวถึงภาวะแบคทีเรียดื้อยาเป็นประจำ อย่างไรก็ตาม WHO ไม่เคยพูดถึงสาเหตุว่ามากจากอาหารดิบเลย โดยกลไกที่นำมาสู่การดื้อยานั้นเกิดได้หลายสาเหตุ เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะมาก/น้อยเกินไปหรือไม่เหมาะสม สภาพแวดล้อมที่อาศัย การนำยาของคนมาใช้กับสัตว์โดยไม่มีความรู้ที่ถูกต้อง ฯลฯ. จริงหรือไม่ #03 สุนัขที่กินอาหารดิบหรือบาร์ฟมีผลทำให้ดุร้ายขึ้น? : – ผิด! .สาเหตที่ทำให้น้องหมาดุนั้น มีอยู่หลายปัจจัยทั้งเรื่องสายพันธ์ ,พฤติกรรมการเลี้ยง สิ่งแวดล้อมรอบตัว ,ความเจ็บปวดจากโรคประจำตัว ,ปัญหาฮอร์โมนเพศ รวมถึงการให้อาหารที่ไม่เหมาะสม (คือการให้อาหารที่พลังงานสูงในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว แป้ง ขนมปัง ขนมแท่ง รวมถึงอาหารสำเร็จรูปเกรดต่ำ).ดังนั้น พฤติกรรมความดุของสุนัขไม่ได้ขึ้นอยู่กับอาหารที่ทาน (มีผลแค่ 2-3%) หมดห่วงเรื่องกินบาร์ฟหรือให้แทะกระดูกดิบๆแล้วจะกระตุ้นให้น้องหมาดุร้ายขึ้น แต่เวลาให้กระดูก ควรหาพื้นที่ส่วนตัวให้น้องหมาได้ใช้พลังงานกัดแทะเต็มที่ ห้ามไปแย่งขณะกำลังสนุก เดี๋ยวน้องจะขู่เอาเพราะนิสัยหวงอาหารตามสัญชาตญาณความเป็นนักล่า. จริงหรือไม่ #04 สุนัขที่และแมวที่กินบาร์ฟต้องถ่ายพยาธิบ่อยๆ?? : – ผิด! .จริงๆแล้วสุนัขและแมวสามารถกินอาหารสดและดิบที่หาได้ตามธรรมชาติมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่ก่อนจะมีอาหารสำเร็จรูป หรือก่อนที่มนุษย์จะนำมาเลี้ยงไว้ในบ้าน เพราะอาหารที่ล่าได้จากเหยื่อและพืชในป่า(กระดูกดิบ เนื้อสัตว์ ผัก หญ้า ผลไม้ ฯลฯ) คืออาหารดั้งเดิมที่พวกเค้ากินมานานหลายหมื่นปี.และเนื่องจากระบบย่อยของพวกเขานั้น แตกต่างจากของมนุษย์ คือมีทางเดินอาหารที่สั้น อีกทั้งมีน้ำย่อยที่มีความเป็นกรดสูงมาก จึงสามารถจัดการกับเชื้อโรคอันตรายรวมถึง พยาธิที่ปนเปื้อนมาได้อย่างไม่มีปัญหา (เว้นแต่ให้กินอาหารดิบที่เริ่มบูดเน่า หรือวางทิ้งไว้ข้างนอกนานเกินไปจนทำให้เสี่ยงปนเปื้อนเชื้อโรค).แต่ไม่ว่าสัตว์เลี้ยงของเราจะกินบาร์ฟ หรืออาหารสำเร็จรูป ผู้เลี้ยงก็ควรถ่ายพยาธิ อย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง เนื่องจากที่มาของพยาธิไม่ได้มาจากแหล่งอาหารเท่านั้น แต่อาจมาจากสภาพแวดล้อมไม่ถูกสุขอนามัย เช่น พื้นถนน / สนามหญ้า/ สวนสาธารณะ / ทรายแมว /แหล่งน้ำลำคลอง ฯลฯ. จริงหรือไม่ #05 สุนัขและแมวทุกสายพันธ์กินอาหารดิบ(บาร์ฟ)ได้ใช่มั๊ย? : – ถูก! .ไม่ว่าจะเป็นสุนัขพันธ์เล็ก (ชิวาวา, ปอมเมอเรเนียน) สุนัขพันธ์กลาง (บีเกิ้ล,คอร์กี้) สุนัขพันธ์ใหญ่ ( โกวเด้นรีทรีฟเวอร์, ลาบราดอร์, บูลลี่) รวมถึงสุนัขทุกสายพันธุ์ที่เรารู้จักนั้น ถึงแม้ว่าจะดูแตกต่างกันอย่างมาก ทั้งหน้าตา, โครงสร้าง, และ นิสัย แต่พวกเค้าล้วนมีบรรพบุรุษเดียวกันนั่นก็คือ “หมาป่า”.ดังนั้นระบบย่อยจึงมีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก ทั้งกรามที่แข็งแรง มีฟันเขี้ยวและฟันตัดที่เหมาะกับการฉีกและเคี้ยวเนื้อสัตว์ มีทางเดินอาหารที่สั้น และกระเพาะที่มีความเข้มข้มของน้ำย่อยสูง ฯลฯ.เมื่อดูจากเหตุผลที่กล่าวมา การให้สุนัขทานเนื้อสัตว์ไม่ว่าจะเป็นแบบดิบหรือปรุงสุก ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าอาหารสำเร็จรูป (เมื่อดูจากลักษณะอาหารและส่วนประกอบ) ส่วนแมวนั้นมีบรรพบุรุษมาจาก “เสือ” ซึ่งแมวเป็นสัตว์ที่กินเนื้อแทบจะ 100% ดังนั้นการให้แมวทานบาร์ฟจึงตอบโจทย์ต่อสุขภาพและพื้นฐานทางร่างกายมากที่สุด. จริงหรือไม่ #06 การให้อาหารปรุงสุก สุนัขจะกินไม่อร่อยถ้าไม่ผ่านการปรุงรส? : – ผิด! .เป็นเรื่องจริงที่น้องหมาสามารถรับรสชาติต่างๆ เช่น รสชาติเปรี้ยว หวาน เค็ม และขมได้ แต่ประสาทการรับรสของน้องหมามีประสิทธิภาพน้อยกว่า เมื่อเทียบกับประสาทการดมกลิ่น ดังนั้นการไม่ใส่เครื่องปรุง เช่น ซีอิ้ว น้ำปลา น้ำตาล ฯลฯ เข้าไปในอาหารจึงไม่ได้มีผลอะไรต่อน้องหมามากนัก.สุนัขจะสนใจเรื่อง #กลิ่นและความสดใหม่ ของอาหารเป็นลำดับแรก โดยอาหารที่น้องหมาส่วนใหญ่ชื่นชอบนั้นจะเป็นอาหารประเภทโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ชนิดที่โปรดปรานที่สุดน่าจะเป็นเนื้อวัว นอกจากนี้น้องหมายังชอบอาหารอุ่นร้อนที่มีความหอมน่ากินมากกว่าอาหารที่เย็นหรือแห้ง.สรุปคือ กลิ่นมีช่วยกระตุ้นความอยากอาหารได้ดีกว่า การเลือกและตัดสินใจกินอาหารของน้องหมาจึงขึ้นอยู่กับกลิ่นของอาหาร มากกว่ารสชาติจากการใส่เครื่องปรุง(แบบที่มนุษย์เราชอบ) เพราะเมื่ออาหารมีกลิ่นที่ดี มีความหอมน่ากิน ก็จะทำให้น้องหมาเลือกกินอาหารนั้นๆ และเจริญอาหารมากขึ้น. จริงหรือไม่ #07 อาหารบาร์ฟไม่เหมาะกับหมาแมวสูงวัย? : – ผิด! .หมาแมวเด็กตั้งแต่วัยหลังหย่านม จนถึงช่วงอายุ 10 ปีขึ้นไป ยังสามารถกินอาหารบาร์ฟได้ เนื่องจากเป็นอาหารที่เหมาะตามหลักชีวภาพและกายภาพ แต่ที่ต้องคำนึงเมื่อเข้าสู่ช่วงสูงวัย ร่างกายและอวัยวะต่างๆย่อมมีความเสื่อม โดยเฉพาะ “ระบบย่อย” ในส่วนกระเพาะ ลำไส้ และตับอ่อน อาจไม่แข็งแรงเมื่อเทียบกับตอนวัยเด็กหรือวัยโต.ยิ่งสัตว์ป่วยที่มีโรคประจำตัวแบบเรื้อรัง ทั้งโรคหัวใจ โรคไต โรคตับ โรคเบาหวาน โรคตับอ่อนอักเสบ จำเป็นต้องระมัดระวังการให้บาร์ฟ เพราะถ้าให้ไม่ถูกสัดส่วนจะเกิดผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าผลดี แต่ที่หมอกล่าวมาไม่ได้หมายความว่า ต้องงดการให้อาหารดิบโดยเด็ดขาด เพียงแต่ต้องปรับสัดส่วนให้เหมาะสม เช่นเพิ่มปริมาณผักมากขึ้น ลดสัดส่วนเนื้อและกระดูก เสริมวิตามินในกลุ่มแคลเซียมและธาตุเหล็ก ฯลฯ.ดังนั้นหมาแมวแก่ที่สุขภาพโดยรวมยังแข็งแรง เจ้าของสามารถให้บาร์ฟต่อไปได้ไม่มีปัญหา แต่ถ้ามีโรคประจำตัวร่วมด้วย อาจต้องลดจำนวนมื้อ หรือเปลี่ยนไปให้อาหารแบบอื่น ซึ่งต้องพิจารณาเป็นรายตัวไป. จริงหรือไม่ #08 สุนัขและแมวกินอาหารสูตรเดิมนั้นดีต่อสุขภาพมากกว่าเปลี่ยนบ่อยๆ? : – ผิด! .การให้อาหารเมนูเดิมๆไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทไหน ถึงจุดนึงหมาแมวก็เบื่อได้ อีกทั้งเสี่ยงเป็นโรคภูมิแพ้ต่างๆ ที่พบเป็นประจำคือ แพ้โปรตีนจากเนื้อไก่ แพ้แป้งธัญพืชและผักบางชนิด ทำให้เกิดอาการคันอย่างรุนแรงหรือมีผื่นแดงขึ้นตามลำตัว.การที่เจ้าของไม่เคยให้สัตว์เลี้ยงกินอาหารแบบอื่นบ้างนอกจากอาหารเม็ดเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ไม่ว่าคุณจะให้อาหารสำเร็จรูป ปรุงสุก หรือบาร์ฟ ก็จำเป็นต้องหมุนเวียนวัตถุดิบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแพ้โปรตีนจากการกินเนื้อชนิดเดียวมานานเกินไป มักเกิดในช่วง 1-6 เดือนแล้วแต่ภูมิต้านทานของสุนัข.และข้อเสียที่ต้องระวังจากการกินอาหารสูตรเดิม คือเสี่ยงเป็นภาวะ #ขาดสารอาหารและแร่ธาตุบางชนิด กระตุ้นให้เซลล์ในร่างกายเสื่อมเร็วกว่าปกติ เสี่ยงเป็นโรคอันตราย ทั้งโรคมะเร็ง โรคตับอ่อนอักเสบ โรคไต และเบาหวานในภายหลัง.ดังนั้นควรฝึกให้น้องหมาน้องแมวกินอาหารหลากชนิด เหมือนที่คนเราก็ควรทานอาหารให้ครบ5หมู่ เพื่อประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว และเพิ่มความสุขในการทานเมื่อได้กลิ่นอาหารใหม่ๆครับ:). จริงหรือไม่ #09 การให้กระดูกดิบเป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง? : – ผิด! .ชนิดกระดูกที่ห้ามให้โดยเด็ดขาด คือ “กระดูกต้มสุกหรือกระดูกไก่ทอด” เพราะกระดูกที่ผ่านความร้อนจะเปราะและแตกหักง่าย มีโอกาสที่เมื่อกินเข้าไปจะไปทิ่มแทงส่วนต่างๆบริเวณกระเพาะและลำไส้ นับว่าอันตรายมากๆและไม่มีประโยชน์ในเรื่องสารอาหารแม้แต่น้อย.บางครั้ง ถ้าสุนัขเคี้ยวละเอียดก็อาจพอย่อยได้ (ส่วนแมวเคี้ยวไม่ได้อยู่แล้วเพราะกรามไม่แข็งแรงพอ) หากผู้เลี้ยงให้กินกระดูกแบบนี้เป็นประจำก็เสี่ยงอันตรายและอาจไปอุดตันลำไส้ใหญ่ทำให้ถ่ายไม่ออก เป็นภาวะที่อันตรายอาจถึงแก่ชีวิต.ส่วนกระดูกดิบนั้นจะนิ่มและย่อยง่าย มีความปลอดภัยในการเคี้ยว ร่างกายจะย่อยและดูดซึมได้ง่ายกว่ากระดูกทอด ถ้าให้ทานในปริมาณที่เหมาะสมและผ่านการบดละเอียด ย่อมไม่เกิดโทษต่อร่างกาย เพราะกระดูกดิบอุดมไปด้วยแร่ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพสัตว์เลี้ยง. จริงหรือไม่ #10 สุนัขสามารถแทะกระดูกดิบได้ทุกชนิด? : – ผิด! .กระดูกที่นิยมหาซื้อมาให้น้องหมาแทะเล่น ควรเป็นกระดูกชิ้นใหญ่ ที่แนะนำคือ Knuckle Bone (กระดูกต้นขาหรือท่อนขา) และ Marrow Bone (กระดูกไขข้อ) ประโยชน์คือ ช่วยขัดฟัน ลดคราบหินปูน บริหารช่องปาก เพลินเพลินต่อการแทะ และยังได้ประโยชน์จากไขกระดูกอีกด้วย.ควรเลือกให้กระดูกแทะจากสัตว์ใหญ่ (วัว ควาย แกะ) #ไม่ควรให้กระดูกหมู เพราะเป็นกระดูกที่ค่อนข้างเปราะและแตกหักง่ายกว่ากระดูกชนิดอื่นๆ ข้อควรระวังของการให้กระดูกกลุ่มนี้คือควรรอให้สุนัขอายุครบ 7 เดือนขึ้นไป เพื่อรอให้ฟันแท้ขึ้นหมดก่อน รวมถึงสุนัขที่อายุมากเกิน 10 ปีขึ้นไป ก็ต้องระมัดระวัง เพราะความแข็งแรงของฟันคงไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน ถ้าแทะกระดูกที่แข็งมากๆอาจเสี่ยงฟันหัก.หวังว่า เกร็ดความรู้ทั้ง 10 ข้อ นี้จะช่วยคลายความกังวลกับการให้อาหารบาร์ฟไม่มากก็น้อยครับ……….หมอเป็ด