คำถามที่พบบ่อยอาหารบาร์ฟ
หลายท่านอาจมีคำถามเกี่ยวกับอาหารสัตว์เลี้ยงในกลุ่ม “อาหารสดดิบ”หรือ “บาร์ฟ” หมอจึงรวบรวมข้อสงสัยต่างๆที่เจ้าของมือใหม่อยากทราบ เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ลองอ่านเนื้อหาในบทความนี้ แล้วจะเข้าใจหลักการของอาหารบาร์ฟมากขึ้นครับ
 
1.อาหารบาร์ฟคืออะไร?

อาหารบาร์ฟ ย่อมาจาก B.A.R.F หรือ Bilogically Appropriate Raw Foods บางแหล่งก็ใช้ว่า Bone and Raw Foods เป็นชนิดอาหารสัตว์เลี้ยงประเภทหนึ่งที่ประกอบไปด้วย เนื้อสัตว์ เครื่องใน กระดูกสัตว์ ผักผลไม้สด รวมถึงอาหารเสริมต่างๆจากธรรมชาติ นิยมให้สัตว์เลี้ยงทานวัตถุดิบทั้งหมดที่กล่าวมาแบบดิบๆ (ห้ามนำไปผ่านความร้อนหรือผ่านกระบวนการแปรรูป) ดังนั้นการให้อาหารบาร์ฟ เปรียบเสมือนการให้อาหารที่ช่วยให้สุนัขและแมวได้กลับคืนสู่วิถีชีวิตแบบดั้งเดิม เพราะเดิมทีสุนัขที่เราเลี้ยงก็คือสุนัขป่าที่กินของดิบและเนื้อสดมาก่อน ส่วนแมวก็มีบรรพบุรุษโดยตรงคือเสือ อาหารชนิดนี้มีส่วนช่วยในเรื่องของสารอาหาร และให้พลังงานอย่างเต็มที่ แต่ในขณะเดียวกัน สุนัขปัจจุบันก็มีการปรับเปลี่ยนสายพันธุ์และสรีระไปบ้าง ทำให้อาหารชนิดนี้อาจไม่เหมาะกับสุนัขบางชนิด โดยเฉพาะสายพันธุ์หน้าสั้น อย่างเช่น ปั๊ก หรือ เฟรนช์บูลด็อก ที่อาจมีแรงกัดเคี้ยวไม่เพียงพอ นอกจากนี้การเตรียมอาหารบาร์ฟต้องใช้เวลาและความใส่ใจอย่างมาก การเตรียมเนื้อดิบ เครื่องใน หรือกระดูกดิบที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้สุนัขและแมวเกิดอาการติดเชื้อ ท้องเสีย ยิ่งถ้าให้ไม่ถูกสัดส่วนย่อมเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพต่างๆ

2.สุนัขและแมวทุกสายพันธ์กินบาร์ฟได้ใช่มั๊ย?
ไม่ว่าจะเป็นสุนัขพันธ์เล็ก (ชิวาวา, ปอมเมอเรเนียน) สุนัขพันธ์กลาง (บีเกิ้ล,คอร์กี้) สุนัขพันธ์ใหญ่ ( โกวเด้นรีทรีฟเวอร์, ลาบราดอร์, บูลลี่) รวมถึงสุนัขทุกสายพันธุ์ที่เรารู้จักนั้น ถึงแม้ว่าจะดูแตกต่างกันอย่างมาก ทั้งหน้าตา, โครงสร้าง, และ นิสัย แต่พวกมันล้วนมีบรรพบุรุษเดียวกันนั่นก็คือ “หมาป่า” ดังนั้นระบบย่อยจึงมีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก ทั้งกรามที่แข็งแรง มีฟันเขี้ยวและฟันตัดที่เหมาะกับการฉีกและเคี้ยวเนื้อสัตว์  มีทางเดินอาหารที่สั้น ฯลฯ  เมื่อดูจากเหตุผลที่กล่าวมา การให้สุนัขทานเนื้อสัตว์ไม่ว่าจะเป็นแบบดิบหรือปรุงสุก ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าหารให้อาหารสำเร็จรูป ส่วนแมวนั้นมีบรรพบุรุษมาจาก “เสือ” ซึ่งแมวเป็นสัตว์ที่กินเนื้อแทบจะ 100% ดังนั้นการให้แมวทานบาร์ฟจึงตอบโจทย์ต่อสุขภาพและพื้นฐานทางร่างกายมากที่สุด

3.ข้อเท็จจริงของอาหารดิบหรือบาร์ฟ

ช่วงยุคสมัยเกษตรกรรมหรือประมาณ 150-200 ปีที่ผ่านมา สุนัขและแมวทั่วโลกที่ไม่ได้ถูกมนุษย์เลี้ยง ต่างดำรงชีวิตอยู่ด้วยการล่าสัตว์ อาจมีบ้างที่หาผักผลไม้ทาน อาหารที่กินเพื่อดำรงชีวิตล้วนเป็นอาหารดิบทั้งสิ้น สรุปคืออาหารบาร์ฟ (B.A.R.F. = Biologically Appropriate Raw Food) เป็นการให้อาหารที่เหมาะสมกับสายพันธุ์ของสัตว์เลี้ยงหรือแนวทางการให้สุนัขและแมวกินในแบบที่ “ควรกินตามธรรมชาติ” นั่นเอง หากผู้เลี้ยงเตรียมอาหารดิบอย่างถูกต้อง นอกจากไม่มีอันตรายต่อสุนัขและแมว ยังมีประโยชน์ทางโภชนาการมากมาย ตัวอย่างเช่น โปรตีนและไขมันคุณภาพจากเนื้อสัตว์, แบคทีเรียที่ดี, เอนไซม์, สารต้านอนุมูลอิสระ, ฯลฯ โดยที่สารอาหารเหล่านี้ไม่ได้ถูกทำลายหรือแปรสภาพโดยความร้อน จึงมีคุณค่าเต็มร้อย และ ระบบย่อยยังสามารถดูดซึมได้เต็มที่อีกด้วย

4.จะเริ่มต้นให้กินอาหารบาร์ฟอย่างไร?
อาหารเม็ดสำเร็จรูปและอาหารบาร์ฟนั้นแตกต่างกันมาก ทั้งด้านโภชนาการ, ลักษณะอาหาร, ส่วนผสม, และกรรมวิธีการผลิต เป็นอาหารคนละประเภทอย่างชัดเจน หากเจ้าของให้สุนัขทานอาหารเม็ดเป็นเวลานาน การจะปรับมากินบาร์ฟได้นั้นอาจต้องใช้เวลาสักพัก ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของระบบย่อยซึ่งสัตว์เลี้ยงแต่ละตัวมีไม่เท่ากัน เริ่มแรกควรเริ่มให้ทานจากสูตรไก่ก่อน เพราะเป็นโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่ย่อยง่าย สุนัขทุกตัวน่าจะคุ้นเคยกับเนื้อไก่ ทั้งผ่านการกินแบบปรุงสุกหรือกินผ่านรสชาติของอาหารสำเร็จรูปแทบทุกแบรนด์ เมื่อสุนัขเริ่มชินกับบาร์ฟสูตรไก่โดยทานครบ 1 สัปดาห์ขึ้นไป ก็ควรหมุนเวียนให้กินสูตรอื่นบ้าง เช่น  เป็ด ปลา เนื้อ สลับกันไปเพื่อให้เกินความหลากหลายของสารอาหาร ช่วยป้องกันการเบื่อ และถ้าให้ดีควรฝึกให้มีวันพักท้อง 1 วันต่อสัปดาห์ เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว

5.ปริมาณอาหารที่ควรให้คือเท่าใด?
โดยปกติแล้วสุนัขเมื่อโตเต็มที่แล้วควรกินอาหารเท่ากับ 2 – 3 % ของน้ำหนักตัวต่อวัน ขึ้นอยู่กับอายุ, สายพันธุ์, ปริมาณการออกกำลังกาย, ทำหมันหรือไม่ทำหมัน ฯลฯ ขอยกตัวอย่างปริมาณการให้บาร์ฟแบบคร่าวๆดังนี้
-สุนัขพันธ์เล็กหนัก 3  กก. ให้ทานวันละ 60-90 กรัม แบ่ง 2 มื้อ เฉลี่ยมื้อละ 30-45 กรัม
-สุนัขพันธ์เล็กหนัก 8  กก. ให้ทานวันละ 160-240 กรัม แบ่ง 2 มื้อ เฉลี่ยมื้อละ 80-120 กรัม
-สุนัขพันธ์กลางหนัก 15  กก. ให้ทานวันละ 300-450 กรัม แบ่ง 2 มื้อ เฉลี่ยมื้อละ 150-225 กรัม
-สุนัขพันธ์ใหญ่หนัก 25  กก. ให้ทานวันละ 500-750 กรัม แบ่ง 2 มื้อ เฉลี่ยมื้อละ 250-375 กรัม (อาจให้แบ่งเป็น 2 มื้อ หรือ จะให้ 1 มื้อใหญ่รวดเดียวเลยก็ได้ ขึ้นกับสุนัขว่าชอบทานแบบไหนมากกว่า)
**ถ้าไม่มั่นใจปริมาณ สามารถปรึกษาหมอเป็ดในช่องแชทไลน์ เดี๋ยวจะคำนวณปริมาณการให้บาร์ฟที่เหมาะสมให้ครับ**

6.อาหารบาร์ฟเก็บได้นานแค่ไหน?

อาหารของหมอเก็บได้นาน 3-4 เดือนในช่องแช่แข็ง (ช่องฟรีซควรเปิดเบอร์ 3 ขึ้นไป) และเก็บได้ 2-3 วันในช่องเย็นธรรมดา แนะนำให้เก็บไว้ในช่องฟรีซตลอดเวลาเพื่อความสดใหม่ จนถึงเวลาค่อยนำออกมาละลาย การดูแลอาหารบาร์ฟควรปฏิบัติเหมือนกับการดูแลรักษาอาหารสดที่คนบริโภค ควรเก็บให้มิดชิดและไม่ควรนำมาละลายบ่อยครั้ง  หรือถ้าละลายแล้ว อาหารส่วนที่เหลือสามารถเก็บในกล่องสูญญากาศเพื่อช่วยยืดอายุบาร์ฟ อย่าลืมว่าบาร์ฟคืออาหารสดดิบ ถ้าจัดเก็บไม่ดีจะเสียง่ายมากๆ

7.เรื่องที่ต้องระวังหลังจากเปลี่ยนมากินอาหารบาร์ฟใหม่ๆ?

เนื่องจากอาหารสำเร็จรูปและอาหารบาร์ฟมีความแตกต่างกันมาก (ตามที่ได้อธิบายไปในข้อ 4)  เมื่อสุนัขและแมวปรับมากินบาร์ฟในช่วงแรก อาจต้องใช้เวลาปรับท้องสักพักหนึ่ง โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงที่กินอาหารเม็ดเป็นเวลานาน ระบบย่อยย่อมคุ้นเคยกับการย่อยอาหารเม็ดเพียงอย่างเดียว  หากในช่วง 1-7 วันแรก สัตว์เลี้ยงมีอาการอาเจียน หรือถ่ายเหลวบ้าง ให้มองเป็นเรื่องธรรมดา (ช่วงนี้ระบบย่อยกำลังปรับตัว เริ่มเพิ่มหรือลดปริมาณการหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะจึงส่งผลข้างเคียงต่อร่างกายแบบอ้อมๆ) อาการเหล่านี้จะหายไปเองภายใน 7-10 วัน แต่ก็มีสุนัขหรือแมวที่ปรับมากินบาร์ฟได้ทันทีเพราะระบบย่อยแข็งแรงอยู่แล้ว (ส่วนใหญ่จะอายุไม่เกิน 5 ปี)

8.ให้ทานอาหารบาร์ฟและอาหารเม็ดพร้อมกันได้รึเปล่า?
อาหารทั้งสองแบบจะมีส่วนผสมที่แตกต่างกัน โดยบาร์ฟจะประกอบด้วยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ประมาณ 60-80%  ส่วนอาหารสำเร็จรูปแบบเม็ดหรือเปียกจะมีสัดส่วนที่เป็นเนื้อสัตว์น้อยกว่ามาก แทนด้วยโปรตีนจากพืช เช่น ข้าวหรือธัญพืช ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ผู้เลี้ยงจึงไม่ควรนำอาหารทั้ง 2 ประเภทมาผสมในมื้อเดียวกัน เนื่องจากอาหารแต่ละอย่างใช้เวลาในการย่อยไม่เท่ากัน การทานรวมกันนั้น นอกจากทำให้กระเพาะต้องหลั่งน้ำย่อยมากขึ้น อาหารจะอยู่ในกระเพาะนานเกินไปและส่งผลเสียต่อระบบย่อยในระยะยาว ถ้ามีความจำเป็นต้องให้ทานอาหารเม็ดร่วมด้วย ควรแยกให้เป็นมื้อถัดไป โดยเว้นช่วงกับบาร์ฟ อย่างน้อย 8-12 ชม. หรือให้สลับวันไปเลยดีกว่า

9.สุนัขและแมวช่วงอายุเท่าไรถึงควรให้กินบาร์ฟ
น้องหมาน้องแมวตั้งแต่หลังหย่านมจนถึงช่วงปลายชีวิต (2เดือน-15ปี) สามารถกินอาหารบาร์ฟได้หมด แต่ที่ต้องคำนึงคือ เมื่อเข้าสู่ช่วงสูงวัย ทั้งร่างกายและอวัยวะต่างๆย่อมมีความเสื่อม ระบบย่อยอาจไม่แข็งแรงเมื่อเทียบกับตอนวัยเด็กหรือวัยโต รวมถึงสัตว์ป่วยที่มีโรคประจำตัวแบบเรื้อรัง ทั้งโรคหัวใจ โรคไต โรคตับ โรคเบาหวาน โรคตับอ่อนอักเสบ จำเป็นต้องระมัดระวังการให้บาร์ฟ เพราะถ้าให้ไม่ถูกสัดส่วนจะเกิดผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าผลดี

 
10.กินกระดูกอันตรายต่อหมาแมวจริงๆใช่หรือไม่
เป็นคำถามยอดฮิตของผู้เลี้ยงที่สนใจให้หมาแมวกินบาร์ฟ เพราะเราต่างเคยได้ยินข่าวว่ามีสุนัขจรจัดตายจากการกินกระดูกไก่ทอดเข้าไปเป็นจำนวนมาก ข้อเท็จจริงคือ สุนัขและแมวสามารถรับประทานกระดูกได้อย่างปลอดภัย แต่ต้องเป็น “กระดูกดิบ” ปกติแล้วเมื่อสุนัขหรือแมวล่าเหยื่อตัวเล็กๆ เช่น นกหรือหนู พวกเค้าสามารถกินเหยื่อเข้าไปได้ทั้งตัว (นั่นรวมถึงกระดูกของเหยื่อเหล่านั้น)  กระดูกนับเป็นแหล่งแคลเซี่ยมตามธรรมชาติที่สำคัญ การให้สุนัขแทะกระดูกดิบยังช่วยทำให้ฟันสะอาด และลดความเครียด แต่ย้ำอีกครั้งว่า **กระดูกสามารถทานได้ตอนดิบเท่านั้น** กระดูกดิบจะนิ่มและย่อยได้ดี ในทางกลับกันถ้ากระดูกผ่านความร้อนจะทำให้กระดูกแข็งตัว เปราะแตกหักจนไม่สามารถย่อยและดูดซึม หากสะสมมากไป เศษกระดูกที่ตกค้างในกระเพาะและลำไส้อาจจะสร้างบาดแผลในท้องได้อีกด้วย  และเพื่อความปลอดภัยมากขึ้น ควรบดกระดูกให้ละเอียดเพื่อป้องกันการติดคอ โดยเฉพาะการให้บาร์ฟแก่สุนัขพันธ์เล็กและแมวทุกสายพันธ์

11.
กินบาร์ฟเสี่ยงต่อพยาธิและเชื้อโรคหรือไม่?

จริงๆแล้วสุนัขและแมวสามารถกินอาหารสดและดิบที่หาได้ตามธรรมชาติมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่ก่อนจะมีอาหารสำเร็จรูป หรือก่อนที่มนุษย์จะนำมาเลี้ยงไว้ในบ้าน เพราะอาหารที่ล่าได้จากเหยื่อและพืชในป่า(กระดูกดิบ เนื้อสัตว์ ผัก หญ้า ผลไม้ ฯลฯ) คืออาหารดั้งเดิมที่พวกเค้ากินมานานหลายหมื่นปี และเนื่องจากระบบย่อยของพวกเขานั้น แตกต่างจากของมนุษย์ คือมีทางเดินอาหารที่สั้น อีกทั้งมีน้ำย่อยที่มีความเป็นกรดสูงมาก จึงสามารถจัดการกับเชื้อโรคอันตรายรวมถึง พยาธิที่ปนเปื้อนมาได้อย่างไม่มีปัญหา
แต่ไม่ว่าสัตว์เลี้ยงของเราจะกินบาร์ฟ หรืออาหารสำเร็จรูป ผู้เลี้ยงก็ควรถ่ายพยาธิ อย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง เนื่องจากที่มา ของพยาธิไม่ได้มาจากแหล่งอาหารเท่านั้น แต่อาจมาจากสภาพแวดล้อมไม่ถูกสุขอนามัย เช่น พื้นถนน / สนามหญ้า/ สวนสาธารณะ / ทรายแมว /แหล่งน้ำลำคลอง / ฯลฯ แต่ถ้าคุณลูกค้ายังกังวลใจเรื่องพยาธิ ก็ให้เลือกแบรนด์อาหารบาร์ฟที่ดูน่าเชื่อถือ และถ่ายพยาธิทุกๆ 3 เดือนก็พอครับ


12.การปรับท้องหมายถึงอะไร?
การปรับท้อง คือคำที่ใช้เรียก “ช่วงแรกที่เริ่มเปลี่ยนมาให้หมาแมวกินบาร์ฟ” โดยมีระยะเวลาประมาณ 7 วันสำหรับ สำหรับสุนัขและแมวอายุไม่เกิน 7 ปี หากน้องอายุมากกว่านี้ อาจจะใช้เวลามากกว่านั้น (10-20 วัน) โดย 1-2 มื้อแรกที่กินบาร์ฟเข้าไป อาจจะพบภาวะถ่ายเหลว หรืออาเจียน เนื่องจากระบบย่อยอาหารยังไม่คุ้นชินกับอาหารดิบ ซึ่งเป็นอาการปกติเมื่อมีการเปลี่ยนชนิดอาหารอย่างกระทันหัน มักเกิดกับสัตว์เลี้ยงที่ทานอาหารเม็ดติดต่อกันมาหลายปี และไม่ค่อยได้ทานเนื้อสัตว์ รวมทั้งผักผลไม้ ทั้ง 2 อาการที่กล่าวมาจะไม่น่ากังวล หากน้องหมาน้องแมวยังร่าเริง วิ่งเล่นได้ปกติ ยกเว้นว่ามีอาการเซื่องซึม อ่อนเพลีย ถ่ายเหลวเกิน 4-5 รอบ หรืออาเจียนอย่างรุนแรง นั้นอาจเกิดจากการแพ้เนื้อดิบ หรืออาหารเป็นพิษ เจ้าของต้องหยุดให้บาร์ฟ และรีบพาสัตว์เลี้ยงไปพบแพทย์ทันที (หากซื้อบาร์ฟจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือที่ไม่มีขั้นตอนการทำแบบสุขอนามัย จะเสี่ยงปนเปื้อนเชื้อโรคและพยาธิได้ง่าย)

13.การกินอาหารบาร์ฟนั้นจะทำให้สัตว์เลี้ยงดุขึ้นหรือไม่?
สาเหตที่ทำให้น้องหมาดุนั้น มีอยู่หลายปัจจัยทั้งเรื่องสายพันธ์ ,พฤติกรรมการเลี้ยง สิ่งแวดล้อมรอบตัว ,ความเจ็บปวดจากโรคประจำตัว ,ปัญหาฮอร์โมนเพศ รวมถึงการให้อาหารที่ไม่เหมาะสม (คือการให้อาหารที่พลังงานสูงในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว แป้ง ขนมปัง ขนมแท่ง รวมถึงอาหารสำเร็จรูปเกรดต่ำ) ดังนั้น พฤติกรรมความดุของสุนัขไม่ได้ขึ้นอยู่กับอาหารที่ทาน (มีผลแค่ 2-3%) หมดห่วงเรื่องกินบาร์ฟแล้วจะกระตุ้นให้น้องหมาดุร้ายขึ้นได้เลยครับ

14.ทำไมหมาแมวที่กินบาร์ฟ ถึงกินน้ำน้อยและปริมาณอุจจาระน้อยลง
เพราะอาหารบาร์ฟนั้นไม่ได้ผ่านการแปรรูปใดๆ จึงอุดมไปด้วยความชุ่มชื้นอย่างเป็นธรรมชาติ ต่างจากอาหารเม็ดสำเร็จรูปที่ผ่านกระบวนการผลิตมากมาย  บีบอัดเป็นเม็ดแห้งเพื่อจะเก็บได้นาน เมื่อสุนัขกินเข้าไปจึงต้องกินน้ำเพิ่มปริมาณมากภายหลัง อีกทั้งอาหารบาร์ฟประกอบด้วยเนื้อสัตว์เป็นส่วนใหญ่ ร่างกายของสัตว์เลี้ยงจะสามารถย่อย ดูดซึม และนำสารอาหารไปใช้ได้ดีกว่า จึงทำให้อุจจาระมีปริมาณน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับการกินอาหารสำเร็จรูป

15.ทำอย่างไรถ้าสุนัขหรือแมวไม่ยอมกินอาหารบาร์ฟ
สุนัขและแมวที่มีนิสัยกินยาก ค่อนข้างเลือกทาน มีอายุเกิน 7-10 ปีขึ้นไป รวมถึงบริโภคอาหารเม็ด หรืออาหารคนมาเป็นเวลานาน อาจจะไม่ยอมกินอาหารบาร์ฟในช่วงแรก เนื่องจากไม่คุ้นเคยกับอาหารแบบใหม่ หมอมีคำแนะนำจากลุกค้าหลายๆท่านที่มีประสบการณ์ตรง ดังนี้คือ
-ลองผสมซุปBone Broth ของเราปริมาณเล็กน้อย จะช่วยให้มีกลิ่นหอม ทำให้น่ารับประทานมากขึ้น
-ผสมกับอาหารโปรดที่เค้าชอบ ให้ผสมต่อเนื่อง 3-7 วัน แล้วค่อยๆเพิ่มปริมาณบาร์ฟมากขึ้นเรื่อยๆ
-เสริฟอาหารบาร์ฟแบบกึ่งละลายกึ่งแข็ง เพราะสุนัขบางตัวชอบเคี้ยวมากกว่ากินแบบละลายหมด
เสริฟอาหารแบบละลายหมด เพราะหมาแมวบางตัวก็มีนิสัยชอบกินอาหารแบบเหลวเป็นน้ำ
-หมุนเวียนรสชาติทุก 2-3 วัน อย่าให้กินรสเดียวติดต่อนานเกินไป ไม่งั้นถึงจุดนึงก็ย่อมเบื่อ
-ฝึกให้อาหารให้เป็นเวลา ถ้าสุนัขและแมวไม่กินให้เก็บขึ้นภายใน 15 นาที เมื่อถึงมื้อถัดไป เค้าจะหิวและยอมกินเอง เป็นการดีที่ปรับนิสัยให้กินเป็นมื้อตามเวลาจะดีต่อสุขภาพมากกว่าการให้กินอาหารตามใจอยากแบบบุฟเฟต์
Note:  (วิธีสุดท้ายนี้ไม่เหมาะสำหรับแมว เนื่องจากแมวไม่สามารถอดอาหารได้เหมือนกับสุนัข จึงต้องอาศัยความพยายามในการปรับเปลี่ยนอาหารให้เค้า อาจจำเป็นต้องฝืนบังคับป้อนใส่ปาก คำเล็กๆ เดี๋ยวพอคุ้นเคยกับรสชาติ จะค่อยๆทานได้มากขึ้นเอง)

ข้อควรปฏิบัติที่ดีในการให้บาร์ฟ
1.ความสะอาดเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดทั้งสำหรับเจ้าของและสัตว์เลี้ยง ควรทำความสะอาดทุกครั้งทั้งบริเวณที่เตรียมอาหาร, ภาชนะใส่อาหาร, และควรล้างมือทุกครั้งทั้งก่อนและหลังให้

2.แนะนำให้ใช้ชามสเตนเลส เนื่องจากวัสดุอื่น เช่น พลาสติก สามารถเป็นที่หมักหมดของแบคทีเรียหรือเชื้อโรคอื่นได้ง่าย

3.เก็บอาหารให้มิดชิด อย่าวางใกล้กับอาหารคน  พยายามเก็บอาหารให้พ้นมือเด็ก และเก็บในช่องฟรีซเท่านั้น

ขอให้เด็กๆที่บ้านมีสุขภาพแข็งแรงจากการกินอาหารบาร์ฟของหมอเป็ดครับ:)
สั่งซื้อบาร์ฟ อาหารตุ๋น อาหารโฮมคลุกสำหรับสุนัข